1. ชื่อเรื่อง
ภาวะผู้นำเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู
ชื่อผู้แต่ง อรพรรณ
เทียนคันฉัตร
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา
2) ศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ของครู 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู
และ 4) สร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 17 ปีการศึกษา 2559
โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 326 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ ตอนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 48
ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อระหว่าง .30 ถึง .73
มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ .95 ตอนที่
2 แบบสอบถามเกี่ยวกับ แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู จำนวน 25
ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อระหว่าง .35 ถึง .83
มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ .95 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ
.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย
ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ที่มา :
http://www.etheses.rbru.ac.th/showthesis.php?theid=258&group=20
2. ชื่อเรื่อง
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู
ชื่อผู้แต่ง เชษินีร์
แสวงสุข
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา
ศึกษาความพึงพอใจ ในการปฏิบัติงานของครู
ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับความพึงพอใจ
ในการปฏิบัติงานของครู
และสร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความพึงพอใจ
ในการปฏิบัติงานของครู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่
ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 17 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 326
ที่คัดเลือกมาด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น
โดยใช้โรงเรียนเป็นชั้นของการสุ่ม ด้วยวิธีการประมาณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดย
ใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน จากประชากรจำนวน 1,472 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 1 ฉบับ แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ ตอนที่ 1 เป็นแบบวัดภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา
จำนวน 20 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .94 ตอนที่ 2 เป็นแบบวัดความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู
จำนวน 25 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปคำนวณหาค่าสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย
ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
และการวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่าย
3. ชื่อเรื่อง ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ชื่อผู้แต่ง ยุวดี
แก้วสอน
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา
1) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาและคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
และ 3) สมการพยากรณ์แสดงภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา
ที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ที่มา : http://www.etheses.rbru.ac.th/showthesis.php?theid=158&group=20
4.ชื่อเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารโรงเรียน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2
ชื่อผู้แต่ง สายพิณ ภูมิประโคน
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์
1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครูที่มีต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน
2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครูที่มีต่อการจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารโรงเรียน
และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารโรงเรียน
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 148 คน และครู
จำนวน 335 คน ได้มาจากการสุ่มแบบชั้นภูมิ
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมี 3 ลักษณะ ได้แก่
แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ
และแบบปลายเปิด แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหพันธ์แบบเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้บริหารโรงเรียนมีภาวะผู้นำ
โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยลำดับสูงสุดคือ
ด้านการมีอิทธิพลเชิงอุดมการณ์และด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล รองลงมาคือ
ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยลำดับต่ำสุด คือ
ด้านการกระตุ้นการใช้ปัญญา 2) ผู้บริหารโรงเรียนจัดการความขัดแย้ง
โดยรวมด้านการยอมเสียประโยชน์
ด้านการร่วมแรงร่วมใจและด้านการประนีประนอมอยู่ในระดับมาก
ส่วนด้านการแข่งขันและด้านการหลีกเลี่ยงอยู่ในระดับปานกลาง
โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยลำดับสูงสุดคือ ด้านการยอมเสียประโยชน์และการร่วมแรงร่วมใจ
รองลงมาคือ ด้านการประนีประนอม ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยลำดับต่ำสุด คือ
ด้านการหลีกเลี่ยง และ 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนมีความสัมพันธ์ทางบวกค่อนข้างต่ำกับการจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารโรงเรียน
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คำสำคัญ :
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การจัดการความขัดแย้ง ผู้บริหารโรงเรียน
และความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการจัดการความขัดแย้ง
ที่มา
: https://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4356
5. ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อเตรียมผู้เรียนสู่ความเป็นพลเมืองโลก
ชื่อผู้แต่ง ดร.พูนภัทรา พูลผล
บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อเตรียมผู้เรียนสู่ความเป็นพลเมืองโลก
แนวคิดในการวิจัยประกอบด้วย แนวคิดการบริหารงานวิชาการ 5 ด้านคือ
1) หลักสูตร 2) การจัดการเรียนการสอน 3)
การนิเทศการสอน 4) การวัดและประเมินผล และ 5)
การใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา แนวคิดเรื่องความเป็นพลเมืองโลก (Global
Citizenship) แนวคิดกระบวนการบริหารคุณภาพ PDCA และแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบ
การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็นการศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาการบริหารงานวิชาการจากเอกสารด้วยการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามจากสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่เข้าร่วมในโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากล
ของสำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลายในปี 2553 จำนวน 500
โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้บริหารสถานศึกษา
ครูและบุคลากรทางการศึกษา
นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อร่างรูปแบบการบริหารงานวิชาการ
ตรวจสอบและประเมินรูปแบบด้านความถูกต้อง
ความเหมาะสมและความเป็นไปได้กับโรงเรียนในต่างประเทศที่มีการบริหารงานวิชาการที่ส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลก
นำข้อเสนอแนะที่ได้มาปรับปรุงรูปแบบให้มีความสมบูรณ์และสามารถนำไปใช้ได้จริง
ที่มา
: http://www.thaiedresearch.org/index.php/home/paperview/73/?topicid=6
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น